ผ่านไป 2 ปี รัฐประหารใน พม่า จากมือพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย คนบัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนของออง ซาน ซูจี ภายหลังพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 เดือนพฤศจิกายน 2563 อย่างถล่มทลายจนกระทั่งครองเสียงข้างมาก ตระเตรียมจะเปิดสัมมนาสภาครั้งแรกภายใน 90 วัน
ท่ามกลางกลิ่นรัฐประหารโชยมา แล้วก็แล้วหลังจากนั้นก็เป็นจริง เมื่อกองทัพอ้างความชอบธรรมในการก่อรัฐประหารเมื่อเช้าตรู่ วันที่ 1 ก.พ. 2564 บอกว่า มีการทุจริตลงคะแนนเสียง รวมทั้งเข้าจับกุมตัวออง ซาน ซูจี รวมทั้งนักการเมืองที่เกี่ยวพัน ส่วนอีกหลาย ๆ คนสามารถแอบหนีไปได้ และภายหลังได้ตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ มาจากหลากหลายชาติพันธุ์ เพื่อคานอำนาจกองทัพเมียนมา

การก่อรัฐประหาร พม่า ก่อให้เกิดการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 1 ปี
แต่งตั้งพล.อ.มินต์ ส่วย รองประธานาธิบดี ทำหน้าที่ประธานาธิบดีรักษาการ ต่อมามีการขยายสถานการณ์ฉุกเฉินเป็น 2 ปี 6 เดือน รวมทั้งยังมีผลให้เมียนมาเกิดการนองเลือดทั่วแผ่นดิน ผู้เห็นต่างถูกจับกุมตัว สูญเสียชีวิต หายสาบสูญ รวมทั้งพลัดถิ่นอาศัย ซึ่งข้อมูลของ ACLED มีการเฝ้าพินิจความร้ายแรงในหลายประเทศ กำหนดมีผู้เสียชีวิตในเมียนมาราว 1.9 หมื่นคน
2 ปีผ่านไป กับเสียงปืนเสียงระเบิดที่ พม่า
การสู้รบเพื่อทำลายล้างผู้เห็นต่าง บริเวณแนวชายแดนติดกับไทย มีเป็นช่วง ๆ สร้างความหวาดสะดุ้งให้กับชาวไทยที่อาศัยในพื้นที่ ยังไม่รวมเหตุการณ์ความรุนแรงที่บางทีอาจถูกปกปิดไม่ออกมาสู่โลกภายนอก และก็ต้องจับตาดูท่าทีกองทัพเมียนมา จะจัดการลงคะแนนเสียงไม่เกินเดือน ส.ค. 2566 นี้ ตามที่ให้คำมั่นหรือเปล่า หลังออกกฎที่ต้องปฏิบัติใหม่ให้เอื้อต่อพรรคสหภาพสามัคคีและการพัฒนา ซึ่งเป็นตัวแทนทหาร
แต่อาจไม่ง่าย เพราะสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อระบบประชาธิปไตย มองว่าเป็นเรื่องจอมปลอม
แล้วก็แม้มีออกเสียงจริง ก็จะไม่ยอมรับผลการลงคะแนน ซึ่งสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ
“ศ.กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู” นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เพราะเรื่องการจัดการเลือกตั้งของกองทัพเมียนมา ตามข้อสมมติฐานต่างเชื่อกันว่าเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับทหารเมียนมา จะต้องทำตามรัฐธรรมนูญกำหนด หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสิ้นสุดไปเมื่อสิ้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยการจัดเลือกตั้งใหม่ ได้วางเงื่อนไขให้ลงทะเบียนพรรคใหม่ จะต้องมีสมาชิกพรรค 1 แสนคนขึ้นไป และมีสาขาของพรรคจำนวนครึ่งหนึ่งของประเทศ ทำให้พรรคฝ่ายตรงข้ามมีปัญหาเรื่องความพร้อม
“การเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหาร จะแพ้ไม่ได้ จะต้องมีวิธีการของตัวเอง แต่หากจัดเลือกตั้งไปแล้ว มีความไม่ชอบมาพากล ความชอบธรรมไม่เกิดกับประชาชน ถูกต่อต้านไม่หยุด และไม่ยอมให้ต่างชาติมาสังเกตการเลือกตั้ง เพราะกฎกติกาไม่เป็นธรรมกับคู่แข่ง ก็เป็นไปตามข้อสมมติฐานเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง และความรุนแรงจะเกิดขึ้นอีก หากไม่แก้ปัญหาอย่างแท้จริง”
ทั้งยังฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน เพื่อแก้วิกฤติแล้วก็ยุติความรุนแรงในเมียนมา ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก็ตามทำให้ปราศจากความน่าเชื่อถือ ไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ แล้วก็คนภายในประเทศ กระทั่งประชาคมโลกไม่ไว้วางใจว่าการออกเสียงในลักษณะนี้จะไขปัญหาความขัดแย้งในเมียนมาได้ และก็รัฐบาลทหารเมียนมาต้องทำอะไรให้มากกว่านี้ เพื่อผลการลงคะแนนเสียงมีความยุติธรรม
ระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่กองทัพ พม่า มีการรัฐประหาร ยังคงไม่ได้ รับการยอมรับ จาก นานาชาติ แล้วก็อาเชียน ก็ไม่ยินยอม ให้ผู้แทนเมียนมา เข้าร่วมประชุม เนื่องจากไม่ สามารถทำให้ นานาชาติ ไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้การลงคะแนนเสียง ไม่ตอบสนองอย่าง โดยความเป็นจริง ว่า รัฐบาลทหาร เมียนมา ยึดมั่น ในหลักประชาธิปไตย แล้วก็เมื่ออยู่ในอำนาจ ก็สามารถทำอะไรก็ได้ อย่างที่ผ่านมา ไม่เคยสนใจ นานาชาติ อาจจะ ไม่จัดเลือกตั้งก็ได้ และก็ขยายสถานการณ์ เร่งด่วนออกไปอีก เพราะว่าต้องการยึดอำนาจให้อยู่ในเงื้อมมือทหาร
“คิดว่ากองทัพเมียนมามั่นใจ จะกลับมามีอำนาจได้ จากการ เลือกตั้ง หากหมดอำนาจลง ก็จะเสียประโยชน์หลายๆ อย่าง เป็นเหตุผลไม่ยอมลง จากอำนาจง่ายๆ หากโดน ตรวจสอบภายหลังก็จะเสียผลประโยชน์ และการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารเมียนมาไม่มีหลักประกันใดๆ เลย เพราะพฤติกรรมในอดีตไม่น่าเชื่อถือ ไม่ได้สร้างให้คนเห็นในความบริสุทธิ์ใจ ให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายต่อต้าน และเมื่อคนไม่เชื่อใจ ก็มองเป็นการเลือกตั้งจอมปลอมอยู่แล้ว หากจะให้ยอมรับต้องทำตามกฎหมาย ไม่ควรตุกติก”
หรือตราบใดที่ผู้ต้องขังทางการเมืองยังถูกจับและก็ถูกจองจำ
จะมีผลให้การแข่ง ลงคะแนนเสียงไม่เป็นธรรม แล้วก็นักการเมืองของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ก็ยากจะแข่งอย่างเท่าเทียมกัน หากจะออกเสียงควรจะทำอย่างตรงไปตรงมา ต้องเลิกคุมสื่อ เลิกคุมการเคลื่อนไหวของประชาชน
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเหตุว่าจะถูกลบล้างอำนาจโดยประชาชนที่เคยถูกปราบปราม ทำให้การลงจากหลังเสือลำบาก จากการละเมิดสิทธิมนุษยชน จัดการกับฝ่ายตรงข้าม และที่สุดแล้วรัฐบาลทหารพม่าจะอยู่ไปอีกยาว จนถึงประเทศเดินถอยหลัง ทำให้ภูมิภาคของเรามีประเทศถูกตราหน้า กระทบต่อเกียรติศักดิ์ของอาเซียนไม่จบสิ้น